เมื่อกายภาพบำบัด เอาชนะ ออฟฟิศซินโดรม

 
   
     
 

ในทางของ ธรรมชาติบำบัด อาจกล่าวว่าอาการเจ็บปวดทั้งหลายที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นที่เกิดขึ้นกับร่างกายคนเรา เป็นสัญญาณเตือนอย่างดีของร่างกาย ที่จะบอกให้เรารู้ว่า ร่างกายเรานั้นเริ่มมีความผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว จะมากจะน้อยหากมีอาการก็ควรหันกลับมาดูแลตัวเองแล้ว สังเกตว่าคนที่ไม่ฟังเสียงของร่างกายก็มักจะมีโรคภัยรุนแรงเกิดขึ้นเสมอ อย่าอดทนกับอาการต่างๆ ที่ไม่ควรจะทน เพราะมันอาจเป็นความเสี่ยงทำให้เกิดโรคร้ายแรงได้

เพ็ญพิชชากร แสนคำ นักกายภาพบำบัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการ ปรับโครงสร้างร่างกาย จากสถาบันปรับโครงสร้างร่างกาย อริยะ (Ariya Wellness Center) อธิบายว่า โดยปกติการทำงานของร่างกายจะเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กันอย่างน่าอัศจรรย์ แต่ละอวัยวะทำงานอย่างเป็นระบบระเบียบ การที่ร่างกายทำงานเช่นนี้ได้ก็มาจาก “สมอง” ที่สั่งการให้ทุกหน่วยเซลล์ได้ทำงาน โดยจะสั่งการผ่านไขสันหลัง(ซึ่งอยู่ในกระดูกสันหลัง) ไปที่เส้นประสาทซึ่งแตกออกมาด้านข้างของแนวกระดูกสันหลัง ไปถึงอวัยวะต่างๆ ให้ทำงาน ดังนั้นสิ่งสำคัญนอกเหนือจากสมองแล้วก็คือระบบการไหลเวียน นั่นคือทั้งเส้นประสาท เส้นเลือดและน้ำเหลือง เพราะระบบเหล่านี้เป็นตัวกลางสำคัญที่จะทำให้ทุกระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเส้นเลือด เส้นประสาทและระบบน้ำเหลืองนี้จะผ่านตามแนวของกล้ามเนื้อ ซึ่งถ้ากล้ามเนื้อแข็งแรงสมดุล มีความยืดหยุ่นดีก็จะทำให้ ระบบการไหลเวียนดี และร่างกายทำงานได้ดี

แต่ในทางตรงกันข้ามหากกล้ามเนื้อถูกใช้งานหนัก หดเกร็ง หรือรั้ง มากกว่าปกติ อันเนื่องมาจากท่าทางที่ไม่ถูกต้อง จากการอยู่ในอิริยาบถที่ต่อเนื่องและซ้ำๆ กันเป็นเวลานานๆ ในแต่ละวัน สะสมเป็นเดือน เป็นปีจนกลายเป็นพังผืด กล้ามเนื้อ ขาดความยืดหยุ่น การไหลเวียนของเลือดก็ถูกจำกัดไปด้วย ของเสียที่เกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อก็คั่งค้างอยู่ เลือดก็ไม่ไหลเวียนไปยังกล้ามเนื้อ จนทำให้เกิดการปวดเมื่อยขึ้นเพื่อเป็นสัญญาณบอกเราให้รู้ว่า กล้ามเนื้อของเรา “ไม่ไหวแล้ว”

อย่างไรก็ตาม เรามักจะละเลยอาการของร่างกายที่คอยบอกเรา ส่วนใหญ่แล้วก็แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเอาแค่อาการให้หาย แต่ไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ ทำให้อาการเหล่านี้กลับมาเรื่อยๆ ไม่มีทางหายขาด สะสมนานเข้าก่อให้เกิดปัญหาต่อระบบอื่น กล้ามเนื้อเกือบทุกมัดที่มีปัญหา จะเกาะตามแนวยาวของกระดูกสันหลัง เพราะฉะนั้นหากกล้ามเนื้อเกร็งมากๆ ก็จะทำให้เกิด กระดูกสันหลังผิดรูป หรือ หมอนรองกระดูกเคลื่อน ซึ่งเป็นต้นเหตุใหญ่ของโรคร้ายแรงต่างๆ เพราะในกระดูกสันหลัง มีไขสันหลัง และหลอดเลือดต่างๆ จึงมีผลต่อระบบร่างกายทั้งหมด

"ยกตัวอย่างเช่น ในคนที่ชอบนั่งไขว้ห้าง จะทำให้ก้นสองข้างลงน้ำหนักไม่เท่ากัน กระดูกสันหลังคด หากคดในระดับอกก็จะทำให้การหายใจได้ไม่สะดวก ปอดทำงานได้ไม่เต็มที่ หัวใจก็ต้องทำงานหนักมากขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดให้พอเพียงต่อความต้องการของร่างกาย เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิด โรคความดันโลหิตสูง ได้ เสี่ยงต่อ ไขมันอุดตันในหลอดเลือดสมอง และอาจถึงขั้นเป็น อัมพฤกษ์ อัมพาตได้ง่ายๆ ทำให้สูญเสียคุณภาพชีวิต และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ในที่สุด"

นักกายภาพบำบัด ยังแนะนำด้วยว่า อาการปวดเมื่อยเป็นอาการที่มาจากการทำงานของร่างกายที่มากเกินไป และหากอาการเรื้อรัง ต้องแก้ไขให้ตรงต้นเหตุ แก้ไขที่ต้นตอของสิ่งที่เป็นเพื่อไม่ให้อาการเหล่านั้นกลับมา และตัดปัญหาที่จะเกิดตามมากับความเจ็บปวดนั่นก็คือโรคภัยไข้เจ็บ การปรับโครงสร้างร่างกาย หรือปรับระบบกระดูกกล้ามเนื้อ การสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง สมดุล ร่วมกับการเรียนรู้ที่จะปรับร่างกายตัวเอง ให้เคยชินกับท่าทางและบุคลิกภาพที่ถูกต้องเหมาะสม นอกจากจะทำให้ไม่ปวดเมื่อย ป้องกันการเกิดของโรคภัยไข้เจ็บแล้ว ก็ยังทำให้เป็นคนที่มีบุคลิกภาพที่ดี คล่องแคล่ว รูปร่างก็ดีด้วยเพราะการมีโครงสร้างร่างกายดี

"หากสามารถที่จะทำได้ก็ควรเริ่มตั้งแต่วันนี้ หากยังไม่มีเวลา เพื่อเป็นการบรรเทาอาการปวดเมื่อยเบื้องต้นก่อนนอนแนะนำให้ใช้ความร้อนในการประคบบริเวณที่มีอาการปวด หรือใช้มือกดคลายเบาๆ ด้วยตัวเอง เช่นปวดบ่าปวดคอก็ใช้มือกดๆ คลึงๆ ให้กล้ามเนื้อได้ผ่อนคลายบ้าง หรือหากปวดคอ-บ่า ลองเอียงคอไปด้านซ้าย/ขวาอย่างช้าๆ จนรู้สึกตึงมาก ต้องพยายามให้การเคลื่อนไปเฉพาะคอ ลำตัวอยู่นิ่ง บ่าตรงไม่เอียงไปด้วยจะทำให้กล้ามเนื้อตึงและผ่อนคลาย ควรทำอย่างช้าๆ ควรหลีกเลี่ยงการก้ม หรือเงยคอมากๆ เพราะเสี่ยงต่อกระดูกระดับคอ ฯลฯ ถ้าอาการปวดเมื่อยเป็นปัญหาต่อการชีวิตประจำวันแล้ว มีผลต่อจิตใจทำให้เกิดความรำคาญ ปวดร้าวขึ้นศีรษะ หรือ ชาแล้ว ควรรีบปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเรื่องระบบกระดูกกล้ามเนื้อโดยตรงจะดีที่สุด เพราะปัญหาเล็กน้อยๆนี้ จะได้ไม่เสี่ยงต่อการเป็นโรคภัยไข้เจ็บที่รุนแรงภายในอนาคตได้" สถาบันปรับโครงสร้างร่างกาย อริยะ (Ariya Wellness Center) กล่าว

อย่างไรก็ดี ต้องดีกว่าแน่นอน หากเราป้องกันตัวเองไว้ ดีกว่าต้องรอถึงวันที่ร่างกายไม่ไหว ต้องนอนให้คนอื่นช่วยเข็น ดังนั้นควรใส่ใจกับสัญญาณต่างๆ ที่เขาพยายามจะเตือนคุณ ไม่ละเลยกับอาการต่างๆที่เกิดขึ้น และปรับใจปรับความคิดให้พร้อมที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตให้วิถีที่พึ่งตนเอง

ที่สุดแล้วหมอที่เก่งที่สุดก็คือ “ตัวเราเอง” ไม่มีใครรู้เรื่องราวของร่างกายเราได้ดีกว่าตัวเรา

 
     
  ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก  
 


« กลับหน้าหลัก สุขภาพถ้วนหน้า «